วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้การสื่อความหมายบรรลุวัตถุประสงค์

      ให้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้การสือความหมาย บรรลุวัตถุประสงค์

          1.  ระบบสังคม 
              ลักษณะความสัมพันธ์ของผู้สื่อสารสื่อสาร  บทบาทหน้าที่ทางสังคม  บรรทัดฐานและค่านิยมของสังคม มีผลต่อการสื่อความหมายทั้งสิ้น ถ้าระบบทางสังคมถูกวางไว้เป็นอย่างดีก็จะมีผลต่อการสื่อสารของคนในสังคมให้เป็นไปด้วยดี มีความหมายถูกต้องสมบูรณ์
          2.  วัฒนธรรม
              แต่ละสังคมเช่น องค์กร  ภูมิภาค  ประเทศ จะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน  หากผู้สื่อสารมีวัฒนธรรมที่เหมือน หรือคล้ายกันก็จะทำให้การสื่อความหมายบรรลุวัตถุประสงค์ได้มากกว่าผู้ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน
          3.  ฐานะทางเศรษฐกิจ
              ลักษณะของเศรษฐกิจในแต่ละสังคมและตัวบุคคลมีผลในการสื่อความหมาย  หากฐานะทางเศรษฐกิจดี  จะทำให้มีความสามารถและอุปกรณ์ที่เอื้อประโยชน์ในการสื่อความหมายได้อย่างแม่นยำ
              
          4.  เพศ/อายุ
               ผู้ที่มีอายุสูงกว่าจะมีความสามารถในการรับและสื่อความหมายได้แม่นยำและถูกต้องมากกว่าผู้ที่อายุน้อย  และเพศที่เหมือนกันจะสื่อความหมายได้ดีกว่าการสื่อสารกับเพศตรงข้าม เเละผู้ที่มีอายุน้อยจะสื่อสารกับผู้ที่มีอายุมากมักจะเป็นการสื่อสารที่มะค่อยเข้าใจ
          5.  ระดับการศึกษา
              ระดับการศึกษามีส่วนในกระบวนการสื่อความหมาย ผู้สื่อสารที่มีการศึกษาจะมีการถ่ายทอดและสื่อความหมายได้ดี  และการสื่อสารระหว่างผู้ที่มีการศึกษาระดับเดียวกันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการสื่อสารกับผู้ที่มีระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน
          6.  อาชีพ
              ลักษณะการทำงานของแต่ละอาชีพมีผลต่อการสื่อความหมาย  ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องพบปะพูดคุยกับผู้อื่นและมีการติดต่อสื่อสารอยู่ตลอดเวลาจะมีความสามารถในการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้องแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพที่ไม่ได้ใช้การสื่อสารมาก
         
          7.  ถิ่นที่อยู่
              ถิ่นที่อยู่มีความเกี่ยวข้องกับการสื่อความหมาย หากถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญและเทคโนโลยีก็มีผลทำให้การสื่อสารเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น  และอาจได้รับข้อมูลที่มีความหมายไม่ถูกต้องครบถ้วน
          8.  ความผิดปกติของร่างกาย
               ผู้ที่มีร่างกายที่ปกติสมบูรณ์ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีประสิทธิภาพจะสื่อความหมายได้ดีกว่าผู้ที่มีร่างกายไม่ปกติเช่น หูหนวก ปากเบี้ยวพูดไม่ชัด  ฯลฯ ซึ่งบุคคลเหล่านี้อาจสื่อความหมายออกมาได้ไม่ชัดเจนและอาจทำให้ข้อมูลผิดพลาด ดังนั้นผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์ดีจะสามารถสื่อสารได้ดีกว่า

กรวยประสบการณ์

                                               กรวยจัดประสบการณ์
                                                     การนำไปประยุคใช้ในการสอน

                        “กรวยประสบการณ์” (Cone of Experiencess)

1) ประสบการณ์ตรง โดยการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากของจริง เช่น การจับต้อง และการเห็น เป็นต้น

 2) ประสบการณ์รอง เป็นการเรียนโดยให้ผู้เรียนเรียนจากสิ่งทีใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด ซึ่งอาจเป็นการจำลองก็ได้

3) ประสบการณ์นาฏกรรมหรือการแสดง เป็นการแสดงบทบาทสมมติหรือการแสดงละคร เนื่องจากข้อจำกัดด้วยยุคสมัยเวลา และสถานที่ เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ หรือเรื่องราวที่เป็นนามธรรม เป็นต้น

 4) การสาธิต เป็นการแสดงหรือการทำเพื่อประกอบคำอธิบายเพื่อให้เห็นลำดับขั้นตอนของการกระทำนั้น

5) การศึกษานอกสถานที่ เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ภายนอกสถานที่เรียน อาจเป็นการเยี่ยม
ชมสถานที่ การสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ เป็นต้น

 6) นิทรรศการ เป็นการจัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ เพื่อให้สาระประโยชน์แก่ผู้ชม โดยการนำประสบการณ์หลายอย่างผสมผสานกันมากที่สุด

7) โทรทัศน์ โดยใช้ทั้งโทรทัศน์การศึกษาและโทรทัศน์การสอนเพื่อให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้เรียนหรือผู้ชมที่อยู่ในห้องเรียนหรืออยู่ทางบ้าน

 8) ภาพยนตร์ เป็นภาพที่บันทึกเรื่องราวลงบนฟิล์มเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ทั้งภาพและเสียงโดยใช้ประสาทตาและหู

9) การบันทึกเสียง วิทยุ ภาพนิ่ง อาจเป็นทั้งในรูปของแผ่นเสียง เทปบันทึกเสียง วิทยุ รูปภาพ สไลด์ ข้อมูลที่อยู่ในขั้นนี้จะให้ประสบการณ์แก่ผู้เรียนที่ถึงแม้จะอ่านหนังสือไม่ออกแต่ก็จะสามารถเข้าใจเนื้อหาได้

10)ทัศนสัญลักษณ์ เช่น แผนที่ แผนภูมิ หรือเครื่องหมายต่าง ๆ ที่เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งของต่าง ๆ

 11) วจนสัญลักษณ์ ได้แก่ตัวหนังสือในภาษาเขียน และเสียงพูดของคนในภาษาพูด
       การใช้กรวยประสบการณ์ของเดลจะเริ่มต้นด้วยการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอยู่ในเหตการณ์หรือการกระทำจริงเพื่อให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงเกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเรียนรู้โดยการเฝ้าสังเกตุในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นขั้นต่อไปของการได้รับประสบ-การณ์รอง ต่อจากนั้นจึงเป็นการเรียนรู้ด้วยการรับประสบการณ์โดยผ่านสื่อต่างๆ และท้ายที่สุดเป็นการให้ผู้เรียนเรียนจากสัญลักษณ์ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น







วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

นวัตกรรม คือ อะไร

นวัตกรรมคืออะไร
ความหมาย องค์ประกอบและขั้นตอนของนวัตกรรม
คำว่านวัตกรรมมาจากคำภาษาอังกฤษว่า “Innovation” โดยมีรูปศัพท์เดิมมาจากภาษาบาลี คือ นว +อตต+กรรม  ทั้งนี้ คำว่า นว แปลว่า ใหม่ อัตต แปลว่า ตัวเอง และกรรมแปลว่าการกระทำ เมื่อรวมเป็นคำว่านวัตกรรม ตามรากศัพท์หมายถึง การกระทำที่ใหม่ของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับคำนิยามของ       สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (2549) ได้ให้ความหมายของนวัตกรรมไว้ว่า นวัตกรรมคือ      “ สิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้ และความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม”
          ดังนั้นน่าจะสรุปได้ว่า นวัตกรรม หมายถึง สิ่งใหม่ที่กระทำซึ่งเกิดจากการใช้ความรู้ ใช้ความคิดสร้างสรรค์  สิ่งใหม่ในที่นี้อาจจะอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์ แนวคิด หรือกระบวนการ  ที่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนา
          องค์ประกอบของนวัตกรรม   ประกอบด้วย
1.ความใหม่ ใหม่ในที่นี้คือ สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อน  เคยทำมาแล้วในอดึตแต่นำมารื้อฟื้นใหม่ หรือเป็นสิ่งใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดิม
2.ใช้ความรู้หรือความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนา   นวัตกรรมต้องเกิดจากการใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างและพัฒนา ไม่ใช่เกิดจากการลอกเลียนแบบ หรือการทำซ้ำ
3.มีประโยชน์ สามารถนำไปพัฒนาหรือแก้ปัญหาในการดำเนินงานได้ ถ้าในทางธุรกิจต้องมีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ สร้างมูลค่าเพิ่ม
4.นวัตกรรมมีโอกาสในการพัฒนาต่อได้
ชั้นตอนของนวัตกรรม  
1.การคิดค้น (Invention)  เป็นการยกร่างนวัตกรรมประกอบด้วยการศึกษาเอกสารทฤษฎีที่เกี่ยวกับนวัตกรรม การกำหนดโครงสร้างรูปแบบของนวัตกรรม
2.การพัฒนา ( Development)  เป็นขั้นตอนการลงมือสร้างนวัตกรรมตามที่ยกร่างไว้ การตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมและการปรับปรุงแก้ไข
3.ขั้นนำไปใช้จริง(Implement) เป็นขั้นที่มีความแตกต่างจากที่เคยปฏิบัติเดิมมา ในขั้นตอนนี้รวมถึงขั้นการทดลองใช้นวัตกรรม และการประเมินผลการใช้นวัตกรรม
4.ขั้นเผยแพร่ ( Promotion) เป็นขั้นของการเผยแพร่ การนำเสนอ หรือการจำหน่าย